เรื่องน่าเบื่ออย่างหนึ่งหลังจากซื้อหาเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดใหญ่เช่นตู้เย็นมาใช้ภายในบ้านเรือน
ก็คือ จะจัดการอย่างไรกับโฟมที่ใช้หุ้มมาเพื่อกันกระแทก
มันมักมีขนาดใหญ่ และรูปทรงที่ทำให้จัดเก็บอย่างประหยัดพื้นที่ได้ยาก
คิดอยู่บ้างเหมือนกันว่าเราอาจนำมาใช้ประโยชน์ทางใดทางหนึ่งได้ในอนาคต
แต่ดูเหมือนอนาคตที่ว่านั้น ไม่เคยมาถึง
ทำให้กลับรู้สึกรำคาญใจที่เก็บมันเอาไว้ อยากกำจัดไปเสียทุกครั้งที่ได้เห็น
ในขณะที่เรากำลังนั่งรับประทานอาหารกลางวันด้วยกันอยู่ที่ร้านอาหารริมเขื่อนใหญ่แห่งหนึ่ง
เด็กน้อยคนหนึ่งในชุดนักเรียนชั้นประถมหนีบเอาโฟมไว้ใต้รักแร้สองข้าง
และถือมาด้วยมืออีกอันหนึ่ง พลางร้องถามลูกค้าในร้านว่า
“ซื้อโฟมไหมครับ ซื้อเอาไว้สักอันไหมครับ”
เขาร้องซ้ำๆไปตามโต๊ะต่างๆ ทุกคนต่างส่ายหน้า ไม่มีใครต้องการ
เด็กพยายามชักชวน บอกว่ามีประโยชน์นะครับ เวลาน้ำท่วมอาจใช้แทนเรือลำเล็กๆได้
ใช้ประคองตัวเวลาอยู่ในน้ำได้ หรือนำไปละลายกับน้ำมันอุดรูรั่วต่างๆก็ได้
ในใจของทุกคนนั้นไม่คิดจะซื้ออยู่แล้ว แต่ปากก็บอกเด็กไปว่า ยังไม่จำเป็น ขอคิดดูก่อนบ้างล่ะ
ขอถามภรรยาดูก่อนบ้างล่ะ ไม่มีเงินบ้างล่ะ มีโฟมอยู่แล้วบ้างล่ะ แล้วแต่จะนึกเหตุผลใดขึ้นมาได้
เมื่อเห็นเด็กขายโฟมงุนงง แย้งกลับมาไม่ถูก เพราะคิดไม่ทัน ก็โบกมือให้เด็กถอยออกไป
เมื่อเด็กเดินพ้นไปเสียได้ก็โล่งใจ ไม่ต้องคิดถึงเรื่องนี้อีก
รับประทานอาหารเสร็จพอมีเวลาเหลือ เพื่อนคะยั้นคะยอว่าวิวทิวทัศน์ของเขื่อนสวยงามน่าชม
จึงตกลงนำเรือยนต์เล็กที่จอดอยู่ข้างร้านไปชมท้องน้ำเหนือเขื่อน
แต่เคราะห์ร้ายเรือค่อยๆจมลงเพราะชนเข้ากับตอไม้ใต้น้ำอย่างจัง เมื่อแล่นไปได้ครู่ใหญ่
ในขณะที่กำลังพยายาม ตะกาย น้ำคว้าหาที่พยุงกายอยู่นานจนเหนื่อยอ่อนนั้นเอง
แว่วเสียงของเด็กขายโฟม ร้องถามขึ้นว่า ซื้อโฟมไหมครับๆ
ลองคิดดูสิครับว่า เราจะตอบเด็กว่าอย่างไร?
เราจะแย้งเด็กไหมว่าขอคิดดูก่อน หรือจะบ่นว่าแพงไหม?
เมื่อตัวแทนประกันชีวิตหรือพนักงานธนาคารพยายามเสนอขายแผนการประกันชีวิตให้
ลูกค้าจะรู้สึกเหมือนกำลังถูกรบกวนจาก “เด็ก” ที่มาตะแหง่วๆให้ซื้อ “โฟม”
เขาให้มาเปล่าๆยังนึกไม่ออกว่าจะเก็บเอาไว้ทำไม
นี่จะให้ต้องผ่อนซื้อ นานหลายปีเสียอีก
บางชิ้นก็แพงเสียด้วย บ้าจริงๆ
การประกันชีวิตก็เหมือนกับโฟมนี่แหละครับ ดูไร้ค่า เป็นภาระ
ไปจนกว่า ความจำเป็นในรูปแบบต่างๆจะมาเยือน
ความจำเป็นเหล่านี้จะมาถึงอย่างแน่นอนในวันใดวันหนึ่งข้างหน้า
บางครั้งโดยไม่ให้สุ้มเสียง และไม่เตือนล่วงหน้า
ยิ่งสำหรับบางคนนั้น ชาติหน้า (ที่ว่าอีกนาน) อาจมาถึงก่อนวันพรุ่งนี้*เสียอีก
นักขายประกันชีวิตก็เหมือนเด็กขายโฟม ที่บางครั้งอาจดูต้อยต่ำ น่ารำคาญ
พร่ำเตือนให้คนเตรียมการสำหรับสิ่งที่ผู้คนไม่อยากคิดถึง
แต่ถ้าไม่มีโฟมและเด็กขายโฟมแล้ว เราจะพยุงตัวในน้ำด้วยอะไร
และใครจะเตือนเราให้ทำสิ่งที่ควรทำก่อนเรือจะล่มกลางเวิ้งน้ำแห่งชีวิตล่ะครับ?
*คำของคุณสุวรรณา โชคประจักษ์ชัด
หลัปตานึกถึงเรื่องนี้ทีไร ยิ่งทำให้รู้ว่าคุณค่าของเด็กขายโฟมนั้นช่างดีเหลือเกินครับ
ได้อยู่ดี กินดี ก็เพราะ ขายประกัน นี่ล่ะครับ ขาย ……ขาย ต่อไป อย่าหยุด…….
ผมร้องขายโฟม มา 25 ปีแล้วครับ และจะขายมันต่อไป ตราบเท่าที่มีแรงกายอยู่
อันนี้อรชอบ และอรอ่านรู้เรื่อง 😀
ปล ไปอ่านหนังสือเรียนละ
ปปล คิดถึงพ่อแอนด์แม่มาก<3